โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา

โรงเรียนมหาวชิราวุธ  จังหวัดสงขลา
ครูสอนว่า จงรักษาความดีให้เหมือนเกลือที่รักษาความเค็ม

ความรู้อยู่ไหน

ค้นคว้าหาไปหยิบใส่สมอง
โลกเราแลกว้างยิ้มอย่างพี่น้อง
หยิบกระเป๋าทอดน่อง
ย่างเท้าก้าวเดิน

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นโยบายการศึกษาไทยกับการปลูกฝังระบอบประชาธิปไตยให้แก่เยาวชน


บทความเรื่อง
นโยบายการศึกษาไทยกับการปลูกฝังระบอบประชาธิปไตยให้แก่เยาวชน

ประเทศไทยในปัจจุบันมีสภาพทางการเมืองที่ไม่ลงตัว มีการแตกแยกปะทะทางความคิดอย่างรุนแรง ทำให้หวั่นเกรงว่าสังคมไทยจะหาทางออกไม่ได้และนำไปสู้ความตกต่ำในด้านต่าง ๆ ซึ่งผู้เขียนมีความรู้สึกเป็นห่วงปรากฏการณ์ เพราะทุกคนมัวเต้นไปกับกระแสประจำวัน คือการเสนอข่าวสารของสื่อ และการโฆษณาชวนเชื่อของแต่ละฝ่าย ซึ่งในสังคมไทยกำลังตกอยู่ในภาวะขาดที่พึ่งทางความคิดและแบบอย่างอันเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ยิ่งจากผลการวิจัยพบว่าเยาวชนของไทยมองการเมืองเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย และมีนักศึกษาที่เข้าร่วมในกิจกรรมที่เป็นประชาธิปไตยค่อนข้างน้อย สำหรับผู้ที่มาร่วมชุมนุมทางการเมืองส่วนใหญ่เป็นคนอายุมากซึ่งมักจะ 40 ปี ขึ้นไป ทำให้เป็นห่วงว่าในอนาคต เราจะได้นักการเมืองแบบใด มีอุดมการณ์ที่เสียสละหรือไม่ การปลูกฝังประชาธิปไตยต่อเยาวชนจึงเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ในสภาวะความขัดแย้งนี้ เราจำเป็นต้องสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีความรู้และเข้าใจการเมืองอย่างแท้จริง จึงจะสามารถวิเคราะห์ ได้อย่างเข้าใจ และเท่าทันกับสิ่งที่แอบแฝงประชาธิปไตย เข้ามามีอิทธิพลทางการเมือง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้ให้ความสำคัญต่อการศึกษาของไทยว่า
“ พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาในทุกระดับและทุกรูปแบบ ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม จัดให้มีแผนการศึกษาแห่งชาติ กฎหมายเพื่อพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ จัดให้มีการพัฒนาคุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ก้าวหน้าทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก รวมทั้งปลูกฝังให้ผู้เรียนมีจิตสำนึกของความเป็นไทย มีระเบียบวินัย คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม และยึดมั่นในการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญได้กำหนดให้การจัดการศึกษาต้องมีการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เข้าใจถึงระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและมีจิตสำนึกในการคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม ซึ่งกฎหมายหรือนโยบายของหน่วยงานอื่นต้องสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตามการแถลงการณ์นโยบายทางการศึกษาของนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาด้านการศึกษาไม่ได้กล่าวถึงการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไว้โดยตรง หากแต่ได้กำหนดให้มีการสอนวิชาประวัติศาสตร์เพื่อให้นักเรียนมีความรักชาติ และจงรักภักดีต่อชาติเป็นหลัก
หากมองไปยังนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีงบประมาณ 2552 ซึ่งมีทั้งหมด 6 ข้อ คือ
1. ปลูกฝังคุณธรรม ความสำนึกในความเป็นชาติไทยและวิถีชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้แก่นักเรียนทุกคน
2. เพิ่มอัตราการเข้าเรียนในทุกระดับ ทั้งเด็กทั่วไป ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ลดอัตราการออกกลางคัน และพัฒนารูปแบบการให้บริการการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษา
3. ยกระดับคุณภาพสถานศึกษาสู่มาตรฐานการศึกษาของชาติ พัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างเป็นระบบ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและการเรียน การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนตามมาตรฐานของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเต็มตามศักยภาพ
4. เร่งรัดพัฒนาความพร้อมในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้แก่สถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษาในสังกัดเพื่อการเรียนรู้และการบริหารจัดการ
5. สร้างความเข้มแข็งและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบริหารและ การจัดการศึกษาเพื่อรองรับการกระจายอำนาจอย่างมีประสิทธิภาพบนหลักธรรมาภิบาลในสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา
6. เร่งพัฒนาการศึกษาและคุณภาพชีวิตนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้
จากทั้ง 6 ข้อไม่มีข้อใดกล่าวถึงการส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นต้นตอปัญหาของสังคมไทยในปัจจุบันโดยตรงเลย ในนโยบายข้อที่ 6 นั้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยอยู่บ้าง ในเรื่องการกระจายอำนาจตามหลักธรรมภิบาล ซึ่งนโยบายในข้อ 6 นี้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาก็ได้นำไปกำหนดเป็นนโยบายการส่งเสริมกิจกรรมประชาธิปไตยในโรงเรียน

อย่างไรก็ตามในการประเมินการประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนได้กำหนดให้ทุกโรงเรียนจัดกิจกรรมส่งเสริมประชาธิปไตยตาม มาตรฐานที่ 15 กล่าวคือ สถานศึกษาต้องมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพผู้เรียนอย่างหลากหลาย ในตัวบ่งชี้ที่ 15.7 ต้อง มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย โดยมุ่งเน้นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและบรรยากาศในโรงเรียนที่ส่งเสริมความรู้ความ เข้าใจ ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมประชาธิปไตย สถานศึกษาในทุกระดับจึงมีการจัดกิจกรรมที่เป็นประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบเป็นส่วนใหญ่ เพื่อรองรับการประเมินของของสมศ.
จากนโยบายดังกล่าวข้างต้นผู้บริหารจะต้องดำเนินการพัฒนาความคิดที่เป็นประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาของตนให้ได้ การสร้างประชาธิปไตยในโรงเรียน จะเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงความสำคัญของระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการนำไปใช้สังคมและชุมชน เป็นการเตรียมความพร้อมผู้เรียนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต เป็นการสร้างลักษณะนิสัยให้ผู้เรียนได้รู้จักระเบียบ ข้อบังคับ กฎเกณฑ์และกติกาของสังคม ตลอดจนรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตน ทีมงาน รับผิดชอบชุมชน และสังคมได้อย่างเหมาะสม โดยโรงเรียนต้องนำรูปแบบประชาธิปไตยมาใช้ในโรงเรียน เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีความเป็นประชาธิปไตย รู้จักปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามภาระหน้าที่ และมีวิถีชีวิตตามหลักประชาธิปไตย สามารถดำรงตนให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตย ผู้บริหารการศึกษาทุกท่านในฐานะที่เป็นผู้ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนการสอน จึงควรสนับสนุนสิ่งต่างๆ ดังนี้
1. กิจกรรมส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียน เช่น กิจกรรมคณะกรรมการนักเรียน กิจกรรมวันสำคัญ กิจกรรมดำเนินตามนโยบาย กิจกรรมสร้างเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กิจกรรมพิเศษต่าง ๆ กิจกรรมกลุ่มการแสดง กิจกรรมชมรมและองค์กรต่าง ๆ ตลอดจนกิจกรรมกีฬา เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียนเป็นอย่างดี
2. ต้องส่งเสริมการสร้างบรรยากาศประชาธิปไตย โดยการจัดบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียนให้ดี จะช่วยเสริมสร้างแนวความคิด จิตใจที่เป็นประชาธิปไตย ด้วยเหตุว่าคนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมใด ย่อมต้องปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมนั้นให้ได้จึงจะสามารถดำรงชีวิตและอยู่ร่วมในสังคมนั้นอย่างเป็นสุข การสร้างบรรยากาศประชาธิปไตย จึงถือว่าเป็นการสร้างระบบและการยอมรับซึ่งกันและกัน
3. ส่งเสริมครูทุกคน ให้จัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับประชาธิปไตยโดยให้สอดแทรกอย่างสม่ำเสมอทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียนโดยสัมพันธ์กับวิชาที่ตนเองรับผิดชอบ
4. ส่งเสริมผู้เรียนให้เข้าใจในความเป็นประชาธิปไตย รู้จักปกครองตนเอง สามารถแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม และสามารถนำความเป็นประชาธิปไตยไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
เพราะฉะนั้นผู้บริหารการศึกษาจำเป็นต้องปฏิรูปการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในชั้นเรียนใหม่เพื่อสร้างบรรยากาศในสถานศึกษา ให้เกิดขึ้นบรรยากาศประชาธิปไตย
หรือจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนมีวิถีประชาธิปไตยคือการนำหลักประชาธิปไตยมาใช้ในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัย เน้นหลักธรรม ดังนี้
1.ด้านคารวธรรม มีพฤติกรรมที่แสดงออก ดังนี้
1.1 เคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์
- การแสดงความเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกโอกาส
- การร่วมกิจกรรมต่างๆที่จัดเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ในโอกาสวันสำคัญต่างๆ
- การไปรับเสด็จเมื่อพระมหากษัตริย์ หรือพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จไปในถิ่นที่อยู่ หรือบริเวณใกล้เคียง
- การปฏิบัติต่อสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น ธงชาติ พระบรมฉายาลักษณ์ เพลงสรรเสริญพระบารมี ฯลฯ ด้วยความเคารพ เมื่อได้ยิน หรือเห็นบุคคลใดแสดงกิริยาวาจา หรือมีการกระทำอันไม่สมควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องกล่าวตักเตือนและห้ามไม่ให้ปฏิบัติเช่นนั้นอีก
1.2.เคารพซึ่งกันและกันทางกาย
- การทักทาย
- การให้เกียรติผู้อื่น
- การแสดงความเคารพแก่บุคคลซึ่งอาวุโสกว่า
- การให้การต้อนรับแก่บุคคล
- การแสดงความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน
1.3 เคารพกันทางวาจา
- การพูดให้เมาะสมกับกาลเทศะ
- การใช้คำพูดเหมาะสมตามฐานะของบุคคล
- การพูดจาสุภาพ ไม่ก้าวร้าว ส่อเสียด
- การไม่พูดในสิ่งที่จะทำให้ผู้อื่น เกิดความเดือดร้อน
- ไม่นำความลับของบุคคลอื่นไปเปิดเผย
- ไม่พูดนินทาหรือโกหกหลอกลวง
1.4.เคารพสิทธิของผู้อื่น
- การไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น ทั้งทางกายหรือวาจา
- การรู้จักเคารพในสิทธิของคนที่มาก่อนหลัง
- การเคารพในความเป็นเจ้าของ สิ่งของเครื่องใช้
- การรู้จักขออนุญาต เมื่อล่วงล้ำเข้าไปในที่อยู่อาศัยของบุคคลอื่น
1.5 เคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เมื่อมีผู้พูดเสนอความคิดเห็น ควรฟังด้วยความตั้งใจและใคร่ครวญด้วยวิจารญาณ หากเห็นว่าเป็นการเสนอแนวความคิดที่ดี มีประโยชน์มากกว่าความคิดเห็นของตนเองก็ควรยอมรับและปฏิบัติตาม
1.6 เคารพในกฎระเบียบของสังคม การยึดมั่นในกฎระเบียบของสังคม เช่น วัฒนธรรมประเพณี กฎเกณฑ์ของสังคม และกฎหมายของประเทศ
1.7 มีเสรีภาพและใช้เสรีภาพในขอบเขตของกฎหมายและขนบธรรมเนียมประเพณี ด้าน
2.สามัคคีธรรม มีพฤติกรรมที่แสดงออกดังนี้
2.1 การรู้จักประสานประโยชน์ โดยถือประโยชน์ของส่วนรวม หรือประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ได้แก่
- การทำงานร่วมกันอย่างสันติวิธี
- การรู้จักประนีประนอม โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่ส่วนรวมเป็นใหญ่
- การเสียสละความสุขส่วนตน หรือหมู่คณะ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมหรือของชาติร่วมมือกันในการทำงาน หรือทำกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดร่วมกัน โดยมีบุคคลผู้ร่วมงาน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ในการทำงานร่วมกันนี้ จะต้องมีการวางแผนในการทำงานร่วมกัน เมื่อถึงขั้นตอนของการทำงานก็ช่วยเหลือกันอย่างตั้งใจ จริงจัง ไม่หลีกเลี่ยงหรือทำแบบเอาเปรียบผู้อื่น
2.3 เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
2.4 รับผิดชอบต่อหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายจากส่วนรวมและหน้าที่ต่อสังคม
2.5 ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในกลุ่ม ในหน่วยงานและสังคม
3.ด้านปัญญาธรรม มีพฤติกรรมที่แสดงออก ดังนี้ 3.1 การไม่ถือตนเป็นใหญ่
- การรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
- การยอมรับฟัง และปฏิบัติตามมติของเสียงส่วนมากในที่ประชุมหรือในการทำงานต่างๆ
- การรู้จักเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี
3.2 เน้นการใช้ปัญญา ใช้เหตุผลและความถูกต้อง ในการตัดสินปัญหาทั้งปวง ไม่ใช่ใช้เสียงข้างมาก ในการตัดสินปัญหาเสมอไป 3.3 เมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้น หรือเมื่อมีเรื่องที่จะต้องตัดสินใจ ทุกคนต้องร่วมกันคิดและร่วมกัน ตัดสินใจโดยใช้เหตุผล
3.4 ในกรณีที่มีปัญหาโต้แย้งในหมู่คณะ จะต้องพยายามอภิปราย จนกระทั่งสามารถชักจูงให้ทุกคนเห็นคล้อยตาม เมื่อเกิดกรณีที่ต่างก็มีเหตุผลที่ดีด้วยกัน และไม่อาจชักจูงให้กลุ่มหันไปทางใดทางหนึ่งเท่านั้น จึงจะใช้วิธีการออกเสียง
หากสามารถทำให้นักเรียนมีความคิดวิถีชีวิตเป็นประชาธิปไตยได้แล้วการเคารพในสิทธิหน้าทีคนอื่นก็จะติดตามมา การทะเลาะกันแบบไร้เหตุผลก็จะไม่เกิดขึ้น นอกจากเราจะมี คารวะธรรม สามัคคีธรรม ปัญญาธรรมแล้ว ผู้เขียนขอเสนอแนะแนวทางการสร้างภูมิคุ้มกันที่สำคัญแกเยาวชนไทยก่อนจะสายไปครูผู้สอน ต้องแทรกเนื้อหาและพัฒนาการสอนดังนี้
1.สอนให้นักเรียนเข้าใจความแตกต่างของลัทธิ การเมือง เนื่องจากมีการพูดหรือโฆษณาชวนเชื่อว่า สิ่งที่ตนเชื่อเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ฝ่ายตรงข้ามไม่เป็นประชาธิปไตย ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาก็เชื่อตามดังนั้นผู้บริหารต้องดำเนินการให้ครูได้ย้ำถึงระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นอย่างไรซึ่งแต่ละฝ่ายต่างคิดว่าตนถูก เยาวชนก็จะหลงเดินตาม

2.สอนให้นักเรียนรู้จักสิทธิและเสรีภาพตามกฎหมาย นักเรียนไทยหรือคนไทย ยังขาดความเข้าใจในการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพของตนตามกฎหมายทำให้ข้าราชการหรือหน่วยงาน ต่าง ๆ ดำเนินการไปตามอำเภอใจ ยกตัวอย่าง ประชาชนในภาคอีสานของเรานี้รู้จักเดินขบวนไปกรุงเทพเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและทำตามที่นักการเมืองต้องการ แต่ ปัญหาที่ตนประสบอยู่ในชีวิตประจำวันไม่มีใครออกมาเรียกร้องหรือเดินขบวนเลย เช่น
1.การฉ้อราษฎร์บังหลวงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
2.การบริการที่แย่ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เช่น รถไฟ น้ำประปา
3.การกดราคาสินค้าเกษตรของพ่อค้า
4.การที่เจ้าหน้าที่รัฐร่วมมือกับแก๊งต้มตุ๋นแรงงาน หลอกลวงประชาชน
ฉะนั้นครูผู้สอนในโรงเรียนจะต้องสอนให้นักเรียนรู้จักสิทธิและหน้าที่ของชาวไทยให้กระจ่าง
เพื่อให้เข้าใจสิทธิโดยกฎหมายของประชาชน โดยเฉพาะกฎหมายว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพ กฎหมายแรงงาน กฎหมายที่ดิน หากถูกข้าราชการรังแกจะทำอย่างไร นอกจากนั้นครูต้องลบล้างความเชื่อ
ผิด ๆ ที่ปลูกฝังในสังคม ให้เป็นไปตามความต้องการของนักการเมือง เช่น
1.ประชาธิปไตยเป็นเสียงข้างมากเท่านั้นจึงเรียกว่าเป็นประชาธิปไตย
2.ศาลยุติธรรมและองค์กรทางศาลไทยไม่น่าเชื่อถือไม่ควรเคารพ
3.คนรวยมาเป็นนักการเมืองไม่มีทางโกงเพราะเขามีฐานะร่ำรวยแล้ว
4.สถาบันหลักทั้ง 4 ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกัน นายกรัฐมนตรีควรมีอำนาจสูงสุด เมื่อนักเรียนเข้าใจหลักสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่ควรรู้อย่างแท้จริงก็ไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่ไม่ดี
3. ผู้สอนจะต้องทำความเข้าใจกับนักเรียนนักศึกษา ให้รู้ถึงความสัมพันธ์ของเศรษฐศาสตร์และการเมือง ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร นโยบายทางการเมืองมีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศและของโลกอย่างไร ให้นักเรียนได้เข้าใจว่านักการเมืองเข้ามาเล่นการเมืองเพื่ออะไร นักการเมืองที่ดีต้องทำตัวอย่างไร ซึ่งการเรียนการสอนแบบนี้เหมาะสมกับนักเรียนระดับมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัยการทัศนศึกษา การทำการค้นคว้านอกสถานที่ จะทำให้นักเรียนเข้าใจมากยิ่งขึ้น ให้นักเรียนค้นคว้าข้อมูลเรื่อง ราคาข้าว ราคายาง ราคาสินค้า ตลาดหุ้นว่าเกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐอย่างไรและต้องแสดงให้เห็นชัดว่านโยบายทางการเมืองส่งผลต่อนักเรียนและครอบครัวอย่างไร ยกตัวอย่างประเทศประชาธิปไตยที่ประสบผลสำเร็จทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ให้เป็นตัวอย่างชัดเจน
ครูผู้สอนต้องค้นคว้าและทุ่มเท การเรียนการสอนต้องใช้กระบวนการกลุ่ม ให้มีการ
วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทำให้นักเรียนรู้เท่าทัน การโฆษณาชวนเชื่อที่สร้างความแตกแยก
4.จัดการเรียนการสอนที่เน้นการคิดวิเคราะห์ สังคมอีสานชอบข่าวลือ ชอบฟังพูดปากต่อปาก
เช่น ข่าวลือว่าผีปอปกำลังมาทางนั้นทางนี้ จะไปเร็วมาก ไม่เกินสามวัน หน้าบ้านคนก็จะเต็มไปด้วยสิ่งแปลกปลอม ป้องกันผีเต็มบ้าน ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ผลการประเมินโรงเรียนของสมศ.โรงเรียนต่าง ๆ ไม่ผ่านการประเมินในหัวข้อการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน และไม่ผ่านมาตรฐานที่ 5 การดำเนินให้ประสบผลสำเร็จตามหลักสูตรคือ ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนและการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน เนื่องจากไม่นิยมอ่านหนังสือ ดังนั้นผู้บริหาร ต้องส่งเสริมนโยบายรักการอ่าน ให้มากขึ้น รวมทั้งผลักดันให้ครูจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ การออกข้อสอบให้ใช้ข้อสอบแบบอัตนัย เพื่อฝึกให้นักเรียนคิดเป็น เขียนเป็น อันเป็นปัญหาใหญ่ของการศึกษาไทยขณะนี้
การที่นักเรียนคิดวิเคราะห์ไม่เป็นนี้เองจึงทำให้ขบวนการหลอกลวงต่าง ๆ ประสบผลสำเร็จในการเอาเปรียบประชาชนไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงส่งแรงงานไปนอก หลอกลวง
ให้ปลูกพืชที่ขายไม่ได้ เช่น ตะกู หรือมะม่วงหิมพานต์ หรือถูกนักพูดโต้วาทีชาวใต้ 3 คน หลอกให้ไปเดินขบวนกรุงเทพ หรือถูกนายทุนหลอกให้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นต้น
การฝึกคิดวิเคราะห์ทำให้นักเรียนแยกแยะเข้าใจรู้จักสิทธิและหน้าที่ของตนตามสิทธิเสรีภาพของมนุษยชาติ และสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายประชาธิปไตยที่แท้จริงจะเกิดขึ้นในสังคมไทย
สำหรับการปรับปรุงการเรียนการสอนทั้ง 4 ประการหลังผู้เขียนได้คิดขึ้นเองหลังจากประมวลสถานการณ์และความรู้ จากการสอนนักเรียน ยังได้ผลไม่น่าพอใจ เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้อง ซึ่งต้องใช้เวลาและความตั้งใจเป็นอย่างมากในการสอนนักเรียน ให้เปลี่ยนวิธีคิดได้ อย่างไร
ก็ตามความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ถ้าผู้ใหญ่ทำตัวเป็นแบบอย่างนำทางเยาวชน โดยมีผู้บริหารเป็นแกนนำหลัก
เมื่อโรงเรียนสามารถพัฒนาผู้เรียน ให้เข้าใจ เข้าถึง และรักในความเป็นประชาธิปไตย เป็นอย่างดียิ่งแล้ว ในอนาคต ภาพแห่งความ ขัดแย้งที่ปรากฏอยู่ในสังคมไทย ก็จะค่อยลบเลือนไป กระทั่งไม่ปรากฏขึ้นอีก จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารการศึกษาทุกท่าน ที่จะสร้างแนวทางในการแก้ปัญหาของสังคม เพื่อให้สังคมไทยปราศจากความขัดแย้งที่รุนแรงตลอด





อ้างอิง
จิระ เงินงอก .คู่มือเตรียมสอบ ภาค ข ( ความรู้ทั่วไป ) .มหาวิทยาลัยราชภัฎชัยภูมิ:ชัยภูมิ, 2550
เวปไซด์
http://gotoknow.org/blog/piyapoch/211178
http://gotoknow.org/blog/faii/219678

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น